เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๓ พ.ค. ๒๕๔๗

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๔๗
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ในการปฏิบัติธรรมนะ เราเข้าใจว่าการปฏิบัติธรรมเราก็ปฏิบัติธรรม ดูโครงสร้างของสัตว์สิ โครงสร้างของสัตว์มันมีกระดูก สัตว์บางชนิดเอามาทำอาหารมีกระดูกมีเนื้อเราจะกินอาหารเราก็ต้องปลิ้นกระดูกออก สิ่งที่เป็นกระดูก ในการประพฤติปฏิบัติเรานี่ เราคร่อมไปทั้งกับกิเลสของเราด้วย ความเห็นของเรากิเลสของเรามันอาศัยกันมา มันเป็นสิ่งที่นอนเนื่องไง ผลไม้เวลาดองเป็นผลไม้ดองแล้วมันเข้าถึงเนื้อ

อันนี้ก็เหมือนกัน จิตนี้มันโดนกิเลสอวิชชามันเคลือบมันดองไว้ทั้งหมดเลย สิ่งที่ดองไว้ทั้งหมด ความขยับของมันออกไปมันจะมีสิ่งนี้ออกมาด้วย นี้คือกระดูกไง สิ่งที่เป็นกระดูกเราจะปัดออกอย่างไร สิ่งที่เป็นกระดูก เห็นไหม ถ้าเรากินไม่ดีก้างก็ตำคอเรา ในการประพฤติปฏิบัติมันต้องมีสิ่งนี้ไป แต่ปฏิเสธสิ่งนี้ก็ไม่ได้ สัตว์ถ้าไม่มีกระดูกมันจะเป็นสัตว์ขึ้นมาได้อย่างไร มันจะเจริญเติบโตขึ้นมาได้อย่างไร

นี่ตัณหาความทะยานอยาก แต่อยากแบบโลกเขามันก็ตัณหาความทะยานอยากไปแบบโลกเขา ตรงนี้ตรงที่ว่ามรรค เวลามันพลิกขึ้นมาเป็นมรรค ตัณหาความทะยานอยากสิ่งนี้เป็นอกุศล มันพลิกเป็นกุศลได้อย่างไร? มันจะเป็นกุศลได้มันจะพลิกเป็นมรรคได้ มรรคคือความอยาก อยากทำคุณงามความดี แล้วเวลาประพฤติปฏิบัติไปแล้วนี่มันพ้นจากความดีและความชั่ว ความอยากความดีเอาความดีขึ้นไป ขึ้นไปจนถึงที่สุด

ครูบาอาจารย์ถึงบอกมรรคหยาบฆ่ามรรคละเอียด เราเคยคิดไหมว่าเมื่อก่อนเราเคยคิดอย่างไร เราย้อนไปดูความคิดเราสิ ทำไมเมื่อก่อนเราคิดอย่างนี้ได้ ความคิดแบบนี้ความคิดเด็กๆ เลย มันละอายใจตัวเองนะ เวลาเราเข้าไปศึกษาในศาสนา เราเข้าไปศรัทธาในศาสนา เราก็เชื่อมั่นมากเราก็พยายามยึดมั่นของเรามากว่าเรากลัวจะหลงทาง เราจะยึดของเรามาก เรายึดความคิดอย่างนั้นเป็นมรรคหยาบ ๆ คือความคิดเริ่มต้น แต่ถ้าไม่มีอันนี้เลยนี่มันจะมีศรัทธาขึ้นมาได้อย่างไร

นี่ศรัทธาเป็นอริยทรัพย์ของปุถุชนของเรา ถ้าเรามีศรัทธามีความเชื่อ มันจะดึงความคิดดึงทุกๆ อย่างมาหมดเลย ดึงความเห็นต่างๆ เข้ามาเพื่อที่จะประพฤติปฏิบัติ แต่พอดึงเข้ามานี่ กระดูกคือกิเลสในหัวใจของเรานี่ สิ่งที่มันนอนเนื่องมากับใจ อนุสัยนอนเนื่องมากับใจ ผลไม้ถ้ามันสิ่งที่ว่ามันเข้าไปในเนื้อแล้วเราทำให้มันสะอาดไม่ได้ แต่หัวใจมันทำได้ มันเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์ มันมีมรรคอริยสัจจัง มรรคมันเกิดจากไหนล่ะ มันต้องเกิดจากหัวใจ เกิดจากเมล็ดพันธุ์ตัวนั้นนะ ไม่ใช่เกิดจากต้นไม้ เราไปดัดแปลงทาบกิ่งอย่างนั้น เราดัดแปลง เราทาบกิ่ง เราพยายามจะทำให้เป็นไม้ดัด มันก็เป็นประสาโลก มันเป็นโลกียะ มันเป็นความเห็นของโลก

ปัญญาอย่างนี้ปัญญามีโดยสามัญสำนึก แล้วเราก็มีกันในปัจจุบัน แล้วเราก็ประพฤติปฏิบัติกันอยู่อย่างนี้ ถ้าเราประพฤติปฏิบัติกันอยู่อย่างนี้ เราอยู่ในกระแสโลก สิ่งนี้มันไม่เป็นไป ถึงต้องมีสมาธิไง ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้ามีปัญญาตรงนี้มันถึงจะเข้าไปถึงเมล็ดพันธุ์ ถ้าเป็นรากของต้นไม้ เราจะหาเมล็ดพันธุ์ที่ไหน มันต้องออกจากปลายของต้นไม้ แต่นี่เมล็ดพันธุ์เริ่มต้น คือถ้าจิตสงบเข้าไปเห็นเอกัคคตารมณ์ เห็นจิตตั้งมั่น ถ้าเห็นจิตตั้งมั่น ตัวนี้ตัวเข้าไป เมล็ดพันธุ์พืช แล้วเมล็ดพันธุ์พืชผสมพันธุ์กันอย่างไร

นี่มรรคหยาบ มรรคละเอียด จากเริ่มต้นก็ความเห็นหยาบๆ ความเห็นหยาบๆ ศรัทธาหยาบๆ เราทำบุญกุศลต้องให้ได้ตามความปรารถนา ไม่ได้ตามความปรารถนาก็ว่าอันนี้ไม่เป็นบุญๆ มันไม่เป็นบุญตรงไหนมันเกิดจากเมล็ดพันธุ์อันนี้ ถ้าเมล็ดพันธุ์อันนี้มันมีเจตนา มีเจตนา มีความเชื่อ มีความศรัทธาของเรา นี่ปฏิคาหก ปฏิคาหกเพราะว่าเราทำด้วยความศรัทธาจากภายใน แต่ถ้าเรามาจากไม้ดัด ไม้ดัดมันเอาขึ้นรถมันก็กีดขวาง เอาไปตั้งไหนย้ายก็ลำบาก

ศรัทธาเรายึดมั่นถือมั่นในประเพณีวัฒนธรรม เราย้ายต้นไม้ทั้งต้นไปกับใจของเรานะ จะต้องทำแบบนี้ จะต้องอย่างนี้ แล้วต้องเอาต้นไม้นี้ตั้งให้ได้ตลอดไป นี่มันเป็นสิ่งที่ว่ามรรคหยาบๆ แล้วเรายึดความที่มรรคหยาบๆ มันฆ่ามรรคละเอียด คือว่ามันใช้พื้นที่มาก ใช้จำนวนสถานที่มากให้กับต้นไม้นั้นขยับเขยื้อนไป ศรัทธาความเชื่อแรกมันก็ขยับเขยื้อนไปอย่างนั้นนะ มันยึดมั่นถือมั่นไปของมัน นี่มรรคหยาบฆ่ามรรคละเอียด ฆ่าเพราะมันละเอียดลงไปไม่ได้ ถ้ามันละเอียดลงไปได้เราต้องปล่อย ถ้าเราปล่อยมรรคหยาบ ความเห็นหยาบๆ

เริ่มต้นนะเราก็มีความเชื่อมีความศรัทธา แล้วมันจะซึ้งใจมากนะ ซึ้งใจองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ว่าเริ่มเทศน์อนุปุพพิกถา เริ่มจากทานก่อน ทาน ศีล นรกสวรรค์ แล้วก็อริยสัจ มันจะลึกละเอียดเข้าไป ถ้าอย่างนั้นใจมันจะพัฒนาขึ้นมาไม่ได้ ใจมันเข้าไปถึงภาวนามยปัญญาไม่ได้ มันจะเห็นแต่ความหยาบๆ ของมันอย่างนั้น แล้วยึดของหยาบๆ อยู่ ถ้ายึดของหยาบอยู่มันฆ่าสิ่งที่จะเป็นความละเอียดเลย ฆ่าสิ่งนั้นไม่ให้เกิดขึ้นมา นี่สิ่งนี้อยู่ในหัวใจของเรา

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารื้อสัตว์ขนสัตว์นะ จะสงสารพวกเรามาก อยากให้พวกเรานี้เข้าถึงธรรม อยากให้พวกเรานี่ถึงที่สุดแห่งทุกข์ ถ้าถึงที่สุดแห่งทุกข์เมล็ดพันธุ์อันนี้มันก็มีอยู่อย่างนี้ เพราะใจไม่เคยตาย ใจไม่เคยบุบสลายไป ธาตุรู้อันนี้สำคัญมาก คำว่าธาตุรู้มันเป็นสิ่งที่จับต้องได้ เป็นสสารที่จับต้องได้ ธาตุ ๖ ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศธาตุ และธาตุรู้นี้ ธาตุรู้นี้มันเป็นธาตุได้เพราะสิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีปัญญามาก

อย่างเช่นปฏิจจสมุปบาท อวิชฺชา ปจฺจยา สงฺขารา สงฺขารา ปจฺจยา วิญฺญาณํ เป็นสายยาวยืดออกไป เราก็เทียบเป็นอารมณ์ปัจจุบันของเรา นี้เป็นปัญญาอบรมสมาธิเป็นปัญญาได้ แต่ถ้าเห็นหลักความจริงของมัน เราจะไปเห็นหลักความจริงอันนั้น เราจะไม่มีความเห็นเป็นไปได้เลย เพราะอะไร? เพราะสาวกะ เวลาเข้าไปเห็นถึงปัจจยาการ สิ่งที่เป็นปัจจยาการ เป็นอวิชฺชา ปจฺจยา สงฺขารา มันจะเกิดดับเร็วมาก สิ่งที่เร็วมากมันถึงต้องมีมรรคละเอียดเข้าไปจับมัน ละเอียดเข้าไปเรื่อยๆ เข้าไปถึงตรงนั้นได้ ถ้าเข้าไปถึงตรงนั้นได้จะไปเห็นเมล็ดพันธุ์พืชอันนั้น จะความเป็นไป สิ่งนี้เป็นไป

ธาตุก็เหมือนกัน ในเมื่อเรายังมีกิเลสกันอยู่ ธาตุตัวนี้ความรู้สึกมันจับต้องได้ถึงเป็นธาตุ ๖ แต่ถึงที่สุดตัวธาตุนี้ต้องทำลายตัวมันเอง เมล็ดพันธุ์พืชนี้ต้องทำลายตัวมันเอง เมล็ดพันธุ์พืชตัดแต่งเพื่อพัฒนาขึ้นมาเป็นโสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล มันตัดแต่งขึ้นมา พันธุ์พืชมันจะพัฒนาของมันขึ้นไป สิ่งที่พัฒนาของมันขึ้นไปมันไม่เหมือนเดิมอยู่แล้ว มันพัฒนาขึ้นไป ถึงที่สุดเมล็ดพันธุ์พืชมันไม่มีสิ่งที่จะเกิดอีกเลย ไม่มีเชื้อเลย แต่ตัวมันเองมันก็ยังมีอยู่ ถึงตรงนี้คือธาตุ ๖ สิ่งที่ธาตุ ๖ สสารยังจับต้องได้ จิตนี้ถึงไม่เคยตาย จิตนี้ต้องเวียนไป ตรงนี้แสดงออกได้แสดงออกโดยความรู้สึก เทวดา อินทร์ พรหม ต่างๆ จะแสดงความรู้สึกต่างๆ กัน สื่อความหมายต่างๆ กันได้ เพราะยังมีธาตุรู้นี้อยู่ ถึงที่สุดแล้วดับธาตุนี้อยู่

ในพราหมณ์สมัยพุทธกาลที่ว่าเก่งมาก เคาะกะโหลกจะรู้หมดเลยว่ากะโหลกนี้จะไปเกิดในนรก กะโหลกนี้ไปเกิดในสวรรค์ ไปหาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอากะโหลกมาให้เคาะเลย เคาะเห็นไหม นี่ไปนรก พระพุทธเจ้าก็บอกว่าใช่ กะโหลกนี้ไปสวรรค์ บอกว่าใช่ แต่ไปเคาะกะโหลกพระอรหันต์ เคาะเท่าไหร่ก็ไม่รู้ๆ ธาตุรู้อันนี้ถ้าถึงที่สุดมันสืบต่อกันไม่ได้ มันถึงเป็นวิมุตติ มันถึงเป็นนิพพาน มันถึงหลุดพ้นออกไปจากสสารทั้งหมด ออกจากธาตุรู้ทั้งหมด แต่ในเมื่อยังเป็นธาตุรู้เป็นสมมุติบัญญัติอยู่ สมมุติบัญญัติอยู่เพื่อจะให้เราก้าวเดิน ให้จิตของเราพัฒนาขึ้นไปจากหยาบขึ้นไปหาละเอียด สิ่งที่ละเอียดสุดจนถึงความละเอียดสุดนั้นต้องปล่อยวางตัวมันเอง นี่พ้นออกไป จากที่ว่ามีกระดูกขวางคอไปตลอดนะ

เราเกิดมาพบพุทธศาสนา แล้วเกิดมามีครูบาอาจารย์ เหมือนกับพ่อครัวคอยเลาะๆๆ กระดูกของสัตว์ออกมาให้เรา อาหารที่ประกอบไปด้วยอาหารที่มีกระดูก เวลาเรากินเราต้องพยายามปลิ้นของเราเอง เราต้องปล้อนของเราเองเพื่อให้กระดูกนั้นออกไป เพื่อจะไม่ให้ติดคอเรา แล้วเราต้องกินอาหารขึ้นไป แต่ครูบาอาจารย์พยายามจะปลดกระดูกอันนั้นออกให้เรา แต่เราไม่เข้าใจ ทำไมครูบาอาจารย์ดุนัก ทำไมครูบาอาจารย์คอยข่มขี่ ข่มขี่เพราะจากใจดวงหนึ่งให้ใจดวงหนึ่ง จากใจดวงหนึ่งเห็นโทษนะ ถ้ามาสภาวะแบบนี้มันจะไปติดเอาข้างหน้านั้น สิ่งที่ข้างหน้านั้นมันจะไปติดกับตรงนั้น นี่มันจะเป็นสภาวะแบบนี้เลย ใจมันปล่อยมา

เริ่มต้นจากการประพฤติปฏิบัติ เวลาสอนนี่ให้ทำอย่างไร จิตนี้เป็นนามธรรมจับต้องไม่ได้เลย ให้กำหนดลมหายใจเข้า อานาปานสติ และหายใจออก แล้วกำหนดพุทและโธพร้อมกันไปเพื่อเป็นรูปธรรม สิ่งที่ให้เป็นรูปธรรมที่สุดให้เป็นวัตถุที่จับต้องได้มากที่สุด เพื่อจะให้เริ่มตั้งตัวขึ้นมาให้ได้ แต่เวลาภาวนาขึ้นไปนะเดี๋ยวก็ไปตกภวังค์ เพราะคำว่าพุทโธกับลมหายใจมันเกาะเกี่ยวกัน นี่มันช้ามาก ก็ต้องทิ้งอันใดอันหนึ่งเพื่อให้สติมันชัดขึ้นมา

จากอันหนึ่งเริ่มต้นจะต้องให้เป็นรูปธรรม จะต้องให้จับต้องได้ จะต้องให้ก้าวมาให้พัฒนาขึ้นมาได้ แต่มันก็จะไปติดอันหนึ่งๆ นี่กระดูกในโครงสร้างของเนื้อนั้น กระดูกในโครงสร้างของสัตว์นั้น นี่ครูบาอาจารย์คอยพยายามปัดสิ่งนี้ให้ คอยทำสิ่งนี้ให้ เราถึงว่าสัปปายะ ๔ มีครูบาอาจารย์ หนึ่ง หมู่คณะ หนึ่ง อาหาร หนึ่ง ที่อยู่อาศัย หนึ่ง สิ่งนี้จะทำให้เราพัฒนาของเราขึ้นมา ถ้าเราพัฒนาของเราขึ้นมามีอำนาจวาสนามีโอกาสมาก

เราย้อนกลับไปสมัยพุทธกาล ทุกคนอยากเกิดพร้อมกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คิดถึงหลวงปู่มั่นทุกคนอยากเกิดพบหลวงปู่มั่น เพราะหลวงปู่มั่นจะคอยข่มขี่เรานะ นี่ครูบาอาจารย์เล่าว่าสมัยอยู่กับหลวงปู่มั่นคิดก็ไม่ได้เลย คิดนอกลู่นอกทางท่านจะเตือนทันที ท่านจะคอยเคาะทันทีเลย นี่ครูบาอาจารย์ที่มีศักยภาพขนาดนั้นนะ แล้วเราจะหาได้ที่ไหนล่ะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารู้ตั้งแต่อดีตชาติเลยว่าเราควรจะทำอย่างไร เรามีจริตนิสัยอย่างไร เราควรพัฒนาอย่างไร

นี่จูฬปันถก พี่ชายให้ท่องมนต์คำหนึ่งยังท่องไม่ได้เลย จนพี่ชายเห็นว่าคนนี้ไม่มีปัญญาเลยไล่ให้ไปสึก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเรียกเลย

“บวชมาเพื่อใคร?”

“บวชมาให้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ได้บวชมาเพื่อพี่ชายเลย”

“แล้วจะไปไหน?”

“จะไปสึก”

“ไม่ต้อง มานี่” ให้ลูบผ้าขาว ผ้านี่ขาวหนอ ผ้านี่ขาวหนอ นี่พี่ชายเป็นพระอรหันต์นะ รักน้องมาก แต่ก็ไม่รู้จริตนิสัยของน้องชายตัวเอง แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้รู้ว่า นี่จูฬปันถกถ้าลูบผ้าไปๆ ผ้านี้ขาวหนอๆ นี่คือสัจจะความจริงในสิ่งสมมุติ

แต่ในเมื่อลูบไป มือเรานี่เหงื่อไคลมันออกไปนี่ ผ้าขาวมันสะอาดไปได้ตลอดไปไหม แต่มันค่อยๆ ให้เห็น ให้ใจนั้นพัฒนาขึ้นมา ให้ใจนั้นสงบเข้ามา ใจนั้นมีพื้นฐานเข้ามา เห็นสภาวะแบบนั้นมันทิ้งทั้งหมดเลยนะ เป็นพระอรหันต์ขึ้นมานะ แล้วมีอภิญญา ๖ อีกต่างหาก นี่จากหนึ่งแปลงเป็นพันก็ได้เป็นแสนก็ได้ ขยายตัวเองได้ ทำทุกอย่างได้หมดเลย นี่จริตนิสัย ครูบาอาจารย์ไง แล้วมีศักยภาพขนาดที่ว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีศักยภาพแบบหลวงปู่มั่นที่รู้วาระจิตรู้สิ่งต่างๆ ของเรานี่

แล้วเรานี่สาวกะ สาวกได้ยินได้ฟังต่างๆ กันมา เราก็ต้องพยายามศรัทธาของเราขึ้นมา ตั้งโอกาสของเราขึ้นมา มันถึงว่ากระดูกอันนี้เราพยายามปลิ้นมันออก อวิชฺชา ปจฺจยา สงฺขารา นี่มันฝังใจนะ มันต้องการของมัน มันปรารถนาของมัน แล้วมันก็ต้องจินตนาการของมัน จะต้องเป็นอย่างนั้นๆ นี่มันคิดแบบวิทยาศาสตร์ สิ่งที่เป็นวิทยาศาสตร์ต้องพิสูจน์ได้ ต้องทำให้เห็นได้ มันทำให้เห็นได้ อันนี้เป็นวิทยาศาสตร์สิ่งที่เป็นสมมุติ แต่ถ้าเป็นวิมุตติมันรู้จักวาระจิตอันนั้น มันเป็นปัจจัตตัง รู้จากใจดวงนั้น ใจดวงนั้นจะสัมผัสสิ่งนี้ สิ่งที่เป็นสุตมยปัญญา เป็นจินตมยปัญญา เป็นภาวนามยปัญญา เข้ามาถึงบอกว่ามันเป็นปัญญาคนละ...(เทปสิ้นสุดเพียงเท่านี้)